โรคกรดไหลย้อน แบ่งได้ 3 ระยะดังนี้
กรดไหลย้อน แบ่งระยะของการเกิดและอาการได้ 3 ระยะ ดังนี้
1.ระยะเบื้องต้น (กระเพาะอาหารเริ่มอ่อนแรง)
อาการ
-มีลมในท้อง และดันออกมา
-ลมวิ่งตามตัว ตามแขน ตามขาและเกิดอาการปวดเมื่อยตามหลัง ตามร่างกาย
-หลังทานอาหารจะรู้สึกแน่นๆ (ยังไม่เยอะ)
-แสบท้องเล็กๆน้อยๆ
ระยะนี้อาจมีแผลในกระเพาะอาหาร มากน้อยแตกต่างกัน จะแสบๆ เล็กน้อยก่อนนอน หรือช่วงบ่าย 3 บ่าย 4
การรักษากรดไหลย้อนระยะที่ 1
สิ่งที่จะต้องทำก่อนคือ หากรู้สึก หรือพบว่ามีแผลในกระเพาะอาหาร (สังเกตจากมีอาการแสบท้อง บ่อยๆ หรือหรือมีอาการแสบเป็นช่วงๆ จะต้องรักษาแผลให้หายก่อนมิฉะนั้นจะมีน้ำย่อยออกมาเรื่อยๆ และน้ำย่อยที่หลั่งออกมาแบบไม่เป็นเวลาก็จะเกิดปัญหากับร่างกายเช่นกัน เช่น น้ำย่อยกลับมากัดกระเพาะมากขึ้น
วิธีการรักษา แผลในกระเพาะอาหาร หรือลำไส้
การรักษากรดไหลย้อนโดยวิธีธรรมชาติบำบัด โดย ให้รับประทานกล้วยน้ำว้าดิบ ปอกเปลือกหั่นเป็นแว่นๆ ให้หนาประมาณ 1-1.5 ซม. ประมาณ 2 แว่น จิ้มหรือคลุกน้ำผึ้ง กินก่อนอาหารเช้า และเย็น ประมาณ ½ ชั่วโมง ติดต่อกัน 7 วัน หรืออาจรับประทานว่านหางจระเข้ ทั้งแบบสด หรือแบบแปรรูปก็ได้ ก็จะช่วยให้รักษาแผลได้ เมื่อแผลหายแล้วจึงเริ่มใช้ยาได้
ยาที่ใช้คือ ขมิ้นชัน มีฤทธิ์ในการรักษาแผล และช่วยต้านอนุมูลอิสระ รวมทั้งช่วยเรียกน้ำย่อยได้ดี ด้วยตัวขมิ้นชันมีสารอาหารที่สำคัญในการช่วยรักษากรดไหลย้อนได้ รวมทั้งมีสารอาหารอื่นๆ ที่มีประโยชน์ แต่ด้วยตัวสารอาหารหลักที่มีประโยชน์ในขมิ้นชันที่ชื่อเคอร์คูมินอยด์ เป็นสารอาหารที่ไม่ละลายน้ำ ร่ายกายจึงดูดซึมไม่ได้ จึงแนะนำให้ใช้สารอาหารในขมิ้นชันที่ผ่านการสกัดแล้วและทำให้เกิดการละลายน้ำได้ ซึ่งในปัจจุบันมียีห้อที่สามารถทำได้คือ ยีห้อกรีนเคอร์มินและเคอร์ม่าแมกซ์ ซึ่งจะสามารถทำให้ช่วยเรียกน้ำย่อย และไปแก้ปัญหาการเกิดกรดไหลย้อนได้
เมื่อเกิดการย่อยอาหารที่ดีขึ้น น้ำย่อยก็จะมามากขึ้น ลมในกระเพาะก็จะลดลง อาหารก็จะตกค้างลดลง
เมื่อมีการกินอาหารที่ตรงเวลา น้ำย่อยก็มาตรงเวลา และการกัดกระเพาะก็จะลดลง
การเกิดกรดไหลย้อนในระยะแรกนี้ จะทำให้เกิดลมที่คอยดันออกมามากขึ้น การแก้ปัญหาเบื้องต้นโดยกินยาหอมก็จะช่วยไล่ลม ทำให้รู้สึกดีขึ้น โล่งสบายมากขึ้น
การกินกล้วยดิบ หรือว่านหางจรเข้ หากไม่มีแผลในกระเพาะอาหารก็ไม่มีความจำเป็นต้องกินกล้วยดิบ หรือว่านหางจระเข้ก่อน สามารถกินขมิ้นชันได้เลย
พฤติกรรมที่ต้องปรับเปลี่ยน
1.การกินอาหารตรงเวลา และการกินสมุนไพรขมิ้นชันจะทำให้เรียกน้ำย่อยออกมามากขึ้น (น้ำย่อยที่มาตรงเวลา + สมุนไพร(ขมิ้นชัน) จะทำให้หายเร็วขึ้น
2.อย่ากินข้าวคำน้ำคำ จะทำให้ท้องอืดและน้ำย่อยมาไม่ตรงเวลา
3.ห้ามกินอาหารเผ็ดจัด รสจัด
เมื่อเป็นกรดไหลย้อน ระยะนี้หากปล่อยไว้จะทำให้อาการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และทำให้ระบบการย่อยอาหารแย่ลง และส่งผลให้เกิดอุจจาระตกค้างในลำไส้เพิ่มขึ้น เมื่ออุจจาระเพิ่มร่างกายจะเพิ่มจุลินทรีย์เพื่อทำลายอาหารในสำไส้มากขึ้น ก็จะพัฒนาเข้าสู่การเกิดกรดไหลย้อนระยะที่ 2 คือ เกิดอุจจาระตกค้าง และมีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้
ระยะที่ 2 ปัญหาลำไส้ (อุจจาระตกค้างในลำไส้มากขึ้น)
ระยะนี้จุลินทรีย์จะมีเพิ่มขึ้นเพื่อลำลายอุจจาระที่ตกค้าง และทำให้เกิดแก้สเพิ่มขึ้นตามมา ทำให้เกิดอาการท้องผูก ท้องอืด รุนแรงมากขึ้น ทำให้ท้องป่องมากขึ้น เมื่อแก้สมากขึ้นกระจายไปตามตัวทำให้เกิดอาการคันตามตัว (จุลินทรีย์ที่ไม่ดีเพิ่มมากขึ้นจะสร้างแก้สพิษมากขึ้น)
อาการทั่วไปที่พบ
-ท้องผูก ท้องอืดรุนแรง ท้องป๋องมากขึ้น
-อุจจาระตกค้างเพิ่มขึ้น และสร้างแก้ส
-คันตามตัวมากขึ้น เพราะจุลินทรีย์ที่ไม่ดีจะสร้างแก้สพิษ
-แก้สที่เกิดมากขึ้นจะทำให้อุจจาระแตก หรือขาดเป็นช่วงๆ ไม่ต่อเนื่องทำให้อุจจาระไม่สุด ทำให้ต้อง
-ถ่ายหลายครั้ง
-ผายลม จุกแน่นทั้งวัน
-เมื่อลมมีมากจะพาเอาละอองน้ำกรดขึ้นมาที่คอ ช่องอก ทำให้เปรี้ยวปาก ขมปาก
ปัญหาที่เกิดไม่ได้อยู่ที่ กรด แต่อยู่ที่ลมที่มีมาก ลมจะเป็นตัวพาเอาละอองกรดขึ้นมาด้านบน มายังช่องอก คอ หน้าอก และทำให้เกิดอาการเปรี้ยวปากขมปาก แสบคอ
การแก้ไขปัญหาจึงมิใช่การใช้ยาลดกรด การแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องคือ การนำอุจจาระที่ตกค้างออกมา มิฉะนั้น จุลินทรีย์จะมีบ้านที่อยู่อย่างสบาย ทำให้เกิดปัญหามากขึ้น
วิธีการนำเอาอุจจาระออกมี 2 วิธี
1.การดีท๊อก Detox สวนลำไส้ทำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งจนกว่าจะเริ่มดีขึ้น
2.ใช้ยา ธรณีสันตคราด (ยาสามัญประจำบ้านชนิดหนึ่งที่ไม่อันตราย) เริ่มต้นอาจรับประทานเพียง 2-3 เม็ด กินก่อนนอน เป็นเวลา 5-7 วัน เพื่อเอาอุจจาระออกมาให้หมด พอดีขึ้น ก็กินสัปดาห์ละ 2 วัน เพื่อให้อุจจาระไม่ตกค้าง หลังจากนั้นค่อยเติมจุลินทรีย์ชนิดดีเข้ามาในท้องโดยการรับประทาน
1.โปรไบโอติกส์ ชนิดผง หรือชนิดน้ำก็ได้ หาซื้อได้ตามร้านขายยา กินหลังอาหารประมาณ ½ ชั่วโมง วันละ 2 มื้อ หลังอาหารเช้า หลังอาหารเย็น จุลินทรีย์ชนิดดีก็จะเข้าไปเจริญเติบโตในท้อง
เมื่อกินยาธรณีสันตคราด (หน้าทีนำอุจจาระออกมา)+เติมจุลินทรีย์ชนิดดีเข้าไปหลังอาหาร ก็จะทำให้จุลิทรีย์ชนิดดีเพิ่มขึ้น ไม่ดีลดลง ระบบลำไส้ก็จะดีขึ้น
ระยะนี้จำเป็นต้องทำให้กระเพาะอาหารที่อ่อนแรงฟื้นกลับคืนมา
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม สำหรับคนเป็นกรดไหลย้อนระยะที่ 2 คือ
1.ต้องลดอาหารที่จะไปเลี้ยงจุลินทรีย์ที่ไม่ดี และทำให้จุลินทรีย์ดังกล่าวโตเร็วคือ
-นมวัว ชาเย็น (ที่ใส่นมเยอะๆ ) เบเกอร์รี่หวานๆ พวกนี้จะสร้างแก้สเกิดขึ้นในกระเพาะ
-น้ำเย็น น้ำแข็ง ทำให้กระบวนการย่อยไม่ดี
-น้ำผลที่มีฤทธิ์เย็น น้ำมะพร้าว น้ำแตงโม ผักปั่น น้ำส้มคั่น น้ำเต้าหู้ กินแล้วทำให้กระบวนการย่อยไม่ดี
2.ยาที่เกี่ยวกับเรื่องกรด เช่น ยาลดกรด ไม่ควรกินเพราะต้องการให้กรดหลั่งออกมาตามปกติ
3.กินอาหารให้ตรงเวลา
ระยะที่ 3 เป็นสารอาหารในเลือดน้อย ระยะที่คนเป็นกันเยอะ เป็นระยะที่รักษายากมากขึ้น เป็นระยะที่สารอาหารในเลือดน้อยลงมากทำให้การทำงานของอวัยวะต่างภายในร่างกายไม่ดี เนื่องจากกระบวนการย่อยไม่ดีมีมาอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน ทั้งยังมีอุจจาระตกค้างในลำไส้มากขึ้น จึงส่งผลให้สารอาหารในเลือดมีน้อย เกิดผลกระทบต่อกระเพาะ ม้าม ตับไต ลำไส้ มากขึ้น หากไม่แก้ไขปัญหาเกี่ยวกับเลือดก็จะแก้ไขปัญหาได้ค่อนข้างยาก การแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับเลือดก่อนจึงสำคัญที่สุด
อาการของกรดไหลย้อนระยะที่ 3
1.มีอาการจุกคอบ่อยมาก แทบจะทั้งวัน
2.มีกลิ่นปากง่าย ริมฝีปากจะแตกค่อนข้างง่าย อันเนื่องจากการมีเม็ดเลือดที่ไม่สมบูรณ์
3.มึนหัวบ่อย มึนหัวได้ง่าย เพราะมีสารอาหารในเลือดน้อย
อาการทั่วไปพบได้ดังนี้
-ระหว่างวันจะเพลียได้ง่าย ง่วงนอน ตอนเช้าแทบไม่อยากตื่น ง่วงนอนบ่อย นอนหลับไม่ค่อยลึก หลับได้ไม่ค่อยดี เม็ดเลือดแดงไม่สมบูรณ์ จะมีลักษณะแบนๆ เล็กๆ มีออกซิเจนในเม็ดเลือดน้อย ซึ่งส่งผลกระทบให้การนอนหลับได้ไม่สมบูรณ์ ตื่นขึ้นมาจะมึนหัว บางคนตื่นกลางคืน นอนๆก็สะดุ้งขึ้นมา หายใจเร็วๆ แน่นท้องค่อนตลอดเวลา ไม่ว่าจะกินมาก หรือกินน้อย หรือก่อนกิน หรือหลังกิน จะเป็นบ่อยๆ เริ่มโทรมแล้วก็ผอมลง ลิ้นซีด
-หิวบ่อย กินแล้วจะไม่ค่อยอิ่ม กลืนไม่ค่อยลง
-แสบหน้าอกบ้าง หากเป็นมากขึ้น จะมีลมดันขึ้นมาตลอดเวลา กินขาวก็จะอาเจียน อ๊วกออกมา
– บางรายลมที่เยอะมากๆ ไปกดทับกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ฉี่บ่อย บางคนฉี่ทั้งวัน
การรักษา
1.ต้องรักษาโดยการบำรุงเลือด เพราะระยะนี้เป็นระยะที่มีอาหารในเลือดน้อย หากรักษาไม่ถูกจุดจะหายยาก สมุนไพรที่ใช้ได้ผลดี คือ สาหร่ายเกลียวทอง(ยี่ห้ออะไรก็ได้) หรือโสมเกาหลี จะทำให้เลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อมีเลือดเพิ่มขึ้น จะเกิดอาการหิว ดังนั้นจะต้องกินอาหารให้ตรงเวลา เพื่อไม่ให้น้ำย่อยออกมาสะแปะสะปะ ห้ามกินอาหารที่ไปลดกรด หรือเคลือบกระเพาะ ต้องทำให้น้ำย่อยออกมา
การเรียกน้ำย่อยที่ดี ให้ใช้ยาปะสะเจ็ดตระพันคูล กิน หากหายากให้ใช้ สมุนไพรขมิ้นชัน+พริกไทยดำ (ทางเลือกที่น่าสนใจ คือ กรีนเคอร์ มิน ดร.ณสพน จะช่วยรักษาแผล และช่วยเรียกน้ำย่อย )
สรุปหลักการรักษา คือ
1.ทำให้มีเลือด(สาหร่ายเกลียวทอง หรือโสมเกาหลี)
2.ทำให้มีน้ำย่อยออกมาอย่างสม่ำเสมอ (หรือ สมุนไพรขมิ้นชัน+พริกไทยดำ)
3.เอาอุจจาระตกค้างออก อย่างต่อเนื่อง (ใช้ธรณีสันตคราด 5-7 วันติดต่อกัน หลังจากนั้นทุกๆ 3 วัน + เติมจุลินทรีย์ชนิดดีเข้าไปด้วยการใช้โปรไบโอติก หรือน้ำหมักชีวภาพ)
เมื่อดีขึ้นแล้วค่อยหยุดยา หากไม่ดีขึ้นให้ทำอย่างต่อเนื่อง หากจุกแน่นมาก แนะนำให้ใช้ยาหม่อง และยาดมเป็นตัวระบาย
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การที่กรดไหลย้อนขั้นนี้ได้นับว่าไม่ธรรมดา เนื่องจากเป็นมาระยะยาวนานพอควร และมักจะก่อให้เกิดความเครียดเพราะไม่หายสักที ให้ปรับพฤติกรรมดังนี้
1.การเลือกกินอาหาร สามารถกินได้หมด แต่อย่ากินเยอะเกิน เวลากินอาหารห้ามทำกิจกรรมเยอะ เพราะเลือดจะถูกแบ่งไปเลี้ยงสมอง ขณะที่มีอาหารในเลือดน้อยอยู่แล้ว ต้องการให้เลือดไปเลี้ยงระบบการย่อยอาหารมากที่สุด มิฉะนั้นระบบการย่อยอาหารจะไม่ดี
2.นอนเยอะๆ อย่าเพิ่งออกกำลังกายมาก
3.อาหารที่ต้องลด มีดังนี้
1) กาแฟ จะไปกระตุ้นตับ ทำให้หลั่งน้ำย่อยออกมา น้ำย่อยจะออกมาผิดเวลา
2) นมวัว หากกินข้าวไม่ค่อยได้อยู่แล้ว แล้วไปดื่มนมวัวเพิ่ม จะทำให้เกิดลมเพิ่ม ไม่ดี
3) น้ำเต้าหู้ นมถัวเหลือง ทำให้เกิดลมเพิ่มเช่นกัน แนะนำให้ดื่ม น้ำนมข้าวกล้อง น้ำอาร์ซี RC หรือน้ำธัญพืชแทน
4) งดน้ำเย็น น้ำแตงโม น้ำมะพร้าว น้ำส้มคั้น
5) ยาที่ทำลายกรด หรือเลื่อนการหลั่งกรด ยาเคลือบกระเพาะ ควรงด
6)เน้นการออกกำลังกายที่คลายกล้ามเนื้อ การยืดเหยียด เช่น โยคะ หากมีลมเยอะ ตัวช่วยหนึ่งที่ดี คือการนอนท่าปลาดาว กางแขนขาออกสัก 5 นาที ก็จะช่วยให้ลมคลายตัว